วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2559

เที่ยวออสเตรีย 10 สถานที่ ทัวร์ออสเตรีย


แต่ในความเป็นจริงฤดูร้อนของออสเตรียกลับดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากกว่า เนื่องจากสภาพอากาศที่อบอุ่นเหมาะแก่การเที่ยวชมเมืองต่างๆ และหมู่บ้านประวัติศาสาตร์ และที่สำคัญคุณสามารถชื่นชมความงดงามของเทือกเขาแอลป์ได้อย่างเต็มที่สถานที่ท่องเที่ยว 10 แห่งต่อไปนี้ จะทำให้ทริปของคุณพิเศษกว่าครั้งใด

อันดับ 10 Melk Abbey (วิหารเมล์ค)


อันดับ 10 Melk Abbey (วิหารเมล์ค) เที่ยวออสเตรีย ทัวร์ออสเตรีย
วิหารเมล์คนับเป็นหนึ่งในบรรดาอารามหลวงที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก เป็นวิหารคริสต์นิกายเบเนดิกต์ ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินผา เบื้องล่างมี สายน้ำไหลเอื่อยของแม่น้ำดานูบทอดตัวเป็นแนวยาว ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับของกษัตรย์เลโอโปลด์ที่2จากนั้น ทรงพระราชทานปราสาทแห่งนี้ให้แก่นักบวชนิกายเบเนดิกต์เพื่อใช้ ประกอบพิธีทางศาสนาและเป็นสถานศึกษาตั้งแต่ปี 1089 เป็นต้นมา สถานที่ที่เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณที่น่าประทับใจแห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่ยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรมแบบบาโรค จิตรกรรมฝาผนังอันเลอค่า รวมถึงต้นฉบับบทประพันธ์ดนตรีคลาสสิคในยุคเฟื่องฟู และแหล่งมรดกทางภาษาและวรรณคดีในเวลาต่อมา

อันดับ 9 Vienna State Opera (โรงอุปรากรแห่งชาติเวียนนา)


อันดับ 9 Vienna State Opera (โรงอุปรากรแห่งชาติเวียนนา) เที่ยวออสเตรีย
Vienna State Operaเป็นสิ่งก่อสร้างที่สร้างความตกตะลึงให้กับผู้พบเห็นย่านใจกลางเมืองออสเตรีย แทบจะเรียกได้ว่าเป็นโรงละครที่ครองใจผู้คนได้ทุกยุคทุกสมัยเลยทีเดียว มีการแสดงหลากหลายประเภท เช่น การแสดงดนตรีชั้นนำระดับโลกประเภทวงออเคสตร้า (วงดนตรีบรรเลงขนาดใหญ่) การแสดงโอเปร่าและบัลเล่ต์ครั้งประวัติศาสตร์ ซึ่งผู้ชมสามารถเลือกชมในแบบคลาสสิคหรือสมัยใหม่ได้เที่ยวออสเตรีย ทัวร์ออสเตรีย

อันดับ 8 หมู่บ้านซีเฟลด์ เมืองทีโรล (Seefeld, Tyrol)


เที่ยวออสเตรีย ทัวร์ออสเตรีย อันดับ 8 หมู่บ้านซีเฟลด์ เมืองทีโรล (Seefeld, Tyrol)
ซีเฟลด์เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิคฤดูหนาวมาแล้วถึงสองครั้ง และเป็นศูนย์กลางของกีฬาสกีแบบครอสคันทรีอีกด้วย (การแข่งขันสกีตามเส้นทางชนบทหรือในป่า) เพราะสภาพโดยรอบเหมาะกับนักสกีระดับฝึกหัดจนถึงชั้นกลาง ทั้งยังมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติอยู่มาก นับเป็นทิวทัศน์ที่งดงามไร้ที่ติ ไม่เฉพาะในฤดูหนาวเท่านั้น ในวันที่อากาศอบอุ่นยังเหมาะแก่การเดินทอดน่องชมทัศนียภาพที่งดงามและการปีนเขา ทั้งยังมีบริการสุดอลังการจากที่พักระดับไฮคลาส ซีเฟลด์จึงเป็นสถานที่พักผ่อนอย่างแท้จริงสำหรับคุณ

อันดับ 7 ปราสาทโฮเฮนซัลซบวร์ก


อันดับ 7 ปราสาทโฮเฮนซัลซบวร์ก
ปราสาทซัลซบวร์กที่งดงามแห่งนี้เป็นหนึ่งในปราสาทในยุคกลางที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและอยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่บนยอดเขาเฟสตุงบวร์ก นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของป้อมปราการขนาดมหึมาตั้งตระหง่านตัดกับเส้นขอบฟ้าเหนือเมืองซัลซบวร์ก ปราสาทนี้เองเป็นที่เก็บรักษา “Salzburg Bull” ออร์แกนรูปหัวกระทิงที่มีไปป์มากกว่า 200 ท่อนเพื่อความกึกก้องไปทั่วท้องพระโรง นับเป็นผลงานสร้างสรรค์ที่น่าตื่นตาตื่นใจของนักออกแบบในยุคกลาง ทั้งยังเป็นหัวใจของเมืองซัลบวร์กด้วย ดังนั้น ปราสาทโฮเฮนซัลบวร์กจึงเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าประทับใจอีกแห่งหนึ่ง

อันดับ 6 พระราชวังฮอฟบวร์ก


อันดับ 6 พระราชวังฮอฟบวร์ก
พราราชวังฮอฟบวร์กตั้งอยู่ในกรุงเวียนนา ปัจจุบันเป็นที่พักของประธานาธิบดีออสเตรียและใช้เป็นที่ตั้งของหน่วยงานราชการ ในสมัยก่อนเป็นพระราชวังฤดูหนาวของราชวงศ์ฮับสบวร์ก ขณะที่ฤดูร้อนจะโปรดพระราชวังเชินบรุนน์มากกว่า (อยู่ในเวียนนาเช่นเดียวกัน) ปีค.ศ.1438-1583 และ 1612-1806 เป็นที่ประทับของกษัตริย์และจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ และกลับมาเป็นของจักรพรรดิแห่งออสเตรียอีกครั้งในปี 1918

อันดับ 5 Innsbruck Altstadt (ย่านเมืองเก่าอัลท์ชตัดท์เมืองอินสบรุค)


เที่ยวออสเตรีย ทัวร์ออสเตรีย อันดับ 5 Innsbruck Altstadt (ย่านเมืองเก่าอัลท์ชตัดท์เมืองอินสบรุค)
เมื่อถูกล้อมรอบด้วยภูเขาหิมะรอบด้านแล้ว เมืองอินสบรุคจะทำให้คุณรู้สึกด้อยค่าไปเลยทีเดียวเมื่อเปรียบเทียบกับธรรมชาติอันงดงามของเทือกเขาอัลไพน์ หากจะเปรียบเทียบกันทีละจุดแล้วละก็ ที่นี่มีทั้งทัศนียภาพที่เป็นธรรมชาติแสนบริสุทธิ์ และความเป็นชุมชนเมืองเก่าแก่ที่มีความสลับซับซ้อน อัลท์ชตัดท์เป็นเมืองในยุคกลางของอินสบรุคที่ทำให้คุณหลงใหลในสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและร้านรวงต่างๆนับไม่ถ้วน ระหว่างเดินเที่ยวชมเมืองอัลท์ชตัดท์ ยังมีสถานที่อีกแห่งที่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของอัลท์ชตัดท์ นั่นคือ the Golden Roof บ้านหลังนี้สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่จักรพรรดิแมกซิมีเลียนที่ 1 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ตกแต่งด้วยกระเบื้องเตลือบทองแดงลงรักนับพันชิ้นเพื่อให้ดูราวกับทองคำบริสุทธิ์

อันดับ 4 st Anton am Arlberg (ซังค์อันทน อัม อัลเบิร์ก)


อันดับ 4 st Anton am Arlberg (ซังค์อันทน อัม อัลเบิร์ก)
แหล่งเล่นสกีที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่งที่ควรค่าแก่การเยี่ยมชมในออสเตรียคือ St Anton am Arlberg (ซังค์ อันทน อัม อัลเบิร์ก) ตั้งอยู่ในทีโรล หมู่บ้านแห่งนี้เหมาะสำหรับผู้เล่นสกีผาดโผน เพราะพื้นที่ค่อนไปทางวิบาก จึงเป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่น St Anton มีคำกล่าวที่ไม่ค่อยดีนักที่ว่า จงทำงานให้หนัก และกินเที่ยวให้หนักด้วยเช่นเดียวกัน พื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลที่นี่สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้ตลอดฤดูหนาว เช่นเดียวกับฤดูร้อน ก็พร้อมต้อนรับเหล่านักปีนเขา ที่ทยอยหลั่งไหลมาชื่นชมความงดงามในแต่ละปี หากคุณกำลังมองหาช่วงเวลาแห่งความสุขละก็ St Anton ทำให้ความต้องการของคุณเป็นจริงได้

อันดับ 3 ถนน Grossglockner Alpine


อันดับ 3 ถนน Grossglockner Alpine
Grossglockner Alpine เป็นถนนที่มีความยาวมากมุ่งสู่ยอดเขาซึ่งเป็นจุดชมวิวจุดหนึ่งชื่อ Kaiser Franz Josefs Höhe ที่นี่คุณจะมองเห็นภูเขาที่สูงที่สุดในออสเตรียได้อย่างรอบด้านโดยไม่มีสิ่งใดมาบดบังให้เกะกะสายตา ภูเขาลูกนี้มีชื่อว่า Grossglockner ส่วนถนน Grossglockner Alpine มีลักษณะคล้ายทางด่วนบ้านเรา คือต้องจ่ายค่าใช้ถนนซึ่งมีราคาแพงแต่คุ้มค่าเมื่อได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามบนภูเขาสูง ถนนเส้นนี้ โดยปกติจะเปิดใช้ได้ตั้งแต่ต้นเดือนพฤษภาคมจนถึงปลายเดือนตุลาคมของทุกปี

อันดับ 2 Hallstatt (ฮัลชตัทท์)


อันดับ 2 Hallstatt (ฮัลชตัทท์) เที่ยวออสเตรีย
จุดชมวิวที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งคือ Hallstatt เป็นหมู่บ้านเล็กๆในแถบ Salzkammergut ขึ้นชื่อเรื่องผลิตภัณฑ์จากเกลือทะเล ซึ่งเป็นที่ต้องการของผู้คนมาเป็นระยะเวลานาน เพื่อใช้เพิ่มรสชาติและถนอมอาหาร นอกจากนี้ในตัวหมู่บ้านเองยังมีประวัติเก่าแก่และเต็มไปด้วยความมั่งคั่งและเกียรติยศ ซึ่งความมั่งคั่งนี้มีที่มาจากอุตสาหกรรมผลิตเกลือทะเลสาบ พัฒนาจากหมู่บ้านพื้นๆจนกลายมาเป็นหมู่บ้านสไตล์บาโรคที่มั่งคั่งจนถึงปัจจุบัน คุณสามารถเยี่ยมชมแหล่งผลิตเกลือได้ที่ Hörnerwerk และชมวิธีการเก็บรักษาเกลือของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้ที่นี่ สถานที่เพียงหนึ่งเดียวในออสเตรีย จึงไม่ควรพลาด Hallstatt เป็นอันขาด

อันดับ 1 Schönbrunn Palace (พระราชวังเชินบรุนน์)


เที่ยวออสเตรีย ทัวร์ออสเตรีย อันดับ 1 Schönbrunn Palace (พระราชวังเชินบรุนน์)
อันดับ 1 ซึ่งเป็นรายการสุดท้าย คือพระราชวังเชินบรุนน์ หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวหลักในกรุงเวียนนา เมื่อเปรียบเทียบกับความยิ่งใหญ่ของพระราชวังแวร์ซายของฝรั่งเศสที่เป็นต้นแบบแล้ว ที่นี่ มีห้องทั้งหมด 1441 ห้อง สร้างขึ้นระหว่างปี 1696-1712 โดยพระราชกระแสรับสั่งขององค์จักรพรรดิเลโอโปลด์ที่ 1 ต่อมาในสมัยพระนางมาเรียเทเรซา โปรดให้เป็นพระราชวังฤดูร้อน บริเวณ Palace Park (สวนของพระราชวัง) ยังมีที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง เช่น Privy Garden ซึ่งเป็นสวนสัตว์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เขาวงกตหลายรูปแบบ รวมถึงอนุสรณ์หินอ่อน (the Gloriette) ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงถึง 60 เมตร – ทัวร์ออสเตรีย เที่ยวออสเตรีย

เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี


ต่อไปนี้เป็น 10 เมืองของประเทศอิตาลี ที่ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวสุดสวย น่าไปที่สุดของอิตาลี บางเมืองเคยถูกจัดให้เป็นเมืองสวยที่สุดของยุโรปมาแล้ว หากคุณเป็นคนที่รักความคลาสสิคสไตล์ยุโรป แน่นอนว่าคุณต้องรักอิตาลี และต้องชอบเมืองทั้ง 10 อันดับต่อไปนี้แน่นอน

10. จีนัว (Genoa)


Genoa เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
บ่อยครั้งที่เมืองเจนัว (Genoa) ถูกบดบังรัศมีจากเมืองอื่นที่มีชื่อเสียงมากกว่าอย่างกรุงโรม หรือเวนิส แต่ยังไงก็ตาม เจนัว ก็เป็นที่เป็นดังไข่มุกของประเทศอิตาลี เมืองแห่งนี้เป็นเมืองสุดคลาสสิคของอิตาลี ที่ประดับประดาไปด้วยตึกราบ้านช่องตกแต่งด้วยสีสไตล์พาสเทล เต็มไปด้วยโบสถ์เก่าแก่ดูมีมนต์ขลัง สวนเล็กๆที่ถูกจัดอย่างสวยงาม และบางมุมยังซ่อนซากอารยธรรมเก่าแก่ยุคโรมันอีกด้วย เมืองแห่งนี้เป็นดั่งศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ซึ่งแต่ละมุมถนนจะสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมจากยุคอดีตมาสู่ปัจจุบัน

9. ปิซ่า (Pisa)


Pisa เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ตั้งอยู่ในแนวเดียวกับแม่น้ำอาร์โนในทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นทัสกานี (Tuscany) ซึ่งเมืองปิซ่ายังคงมนต์เสน่ห์ของความสวยงามของเมืองยุคกลางไว้ได้อย่างเหนียวแน่น เมืองปิซ่านอกจากจะมีชื่อเสียงมาจาก หอเอนเมืองปิซ่า อันโด่งดังไปทั่วโลกแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆยังสวยงามน่าสนใจ คุ้มค่าแก่การไปเยี่ยมเยือนเป็นอย่างยิ่ง

8. เนเปิลส์ (Naples)


Naples เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
หนึ่งในเมืองเศรษฐกิจที่วุ่นวายที่สุดเมืองหนึ่งของประเทศอิตาลี เนเปิลส์เป็นเมืองหลวงของแคว้น กัมปาเนีย ในทางตอนใต้ของประเทศอิตาลี
เมืองเนเปิลส์เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถานที่ทางศิลปะและประวัติศาสตร์ เช่นเดียวกับ บรรยากาศครึกครื่นแบบสังคมเมืองที่เต็มไปด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่เที่ยวยามราตรี ที่สำคัญอาหารอิตาลีที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่าง Pizza, Spaghetti และParmigiana . . . ที่เมืองนี้คุณภาพของอาหารเป็นที่ขึ้นชื่อมาก เพราะแต่ละร้านเอาใจใส่ในการทำเป็นอย่างดี และมักจะใช้ส่วนประกอบอาหารที่เป็นธรรมชาติ สดใหม่ และ made in italy เท่านั้น

7. เซียนา (Siena)


Siena เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เซียนา สร้างขึ้นใต้ร่มเงาของภูเขาสามลูกใจกลางของแคว้นทัสกานี เมืองนี้ให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปสู่ยุคกลาง ด้วยสิ่งปลูกสร้างต่างๆเป็นแบบดั้งเดิมแถมยังมีประเพณีการแข่งม้าโบราณที่เรียกกันว่า Il Palio (เอล พาลีโอ) ที่เซียนา สถานที่ท่องเที่ยวที่ห้ามพลาดก็คือ “ศูนย์ประวัติศาสตร์เซียนา” ซึ่งเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีที่น่าไปที่สุดของอิตาลีเลยก็ว่าได้ ซึ่งที่ศูนย์ประวัติศาสตร์เซียนา มีงานฝีมือ งานศิลปะ สิ่งปลูกสร้าง และอีกมากมาย ซึ่งแต่ละอย่างนั้นสวยงามและดูเก่าแก่มีมนต์ขลังสุดๆ

6. Cinque Terre


Cinque_Terre เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ความหมายของชื่อเมืองนั้นแปลว่า “Five Lands” แปลเป็นไทยกันเอาเองนะครับ ซึ่งเมือง Cinque Terre มี 5 หมู่บ้านด้วยกัน Riomaggiore, Manarola, Vernazza, Monterosso and Corniglia
เมืองนี้ตั้งอยู่ในแคว้นลีกูเรีย ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี หมู่บ้านต่างๆของเมือง Cinque Terre นั้น มีภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นสวยงามที่สุดของอิตาลีเลยก็ว่าได้ เช่นเทือกเขาลาดชันเป็นแนวยาว หรือ ระเบียงลมสวยๆ ที่มีมาตั้งแต่หลายร้อยปีที่แล้ว

5. Amalfi Coast


Amalfi_Coast เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ตั้งอยู่ในแคว้น กัมปาเนีย เมืองชายทะเล Amalfi Coast มีชื่อเสียงเรื่องลือมากในเรื่องความสวยงามของตัวเมืองและภูมิศาสตร์ โดดเด่นมากจนทำให้กลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวระดับท็อปของอิตาลีไปเลย ความยาวของเมืองยาวประมาณ 30 ไมล์ ตามแนวหาด Sorrento Peninsula ซึ่งทำให้เมืองแห่งนี้ติดอันดับเมืองน่าเที่ยวของอิตาลี จากความงดงามของภูมิศาสตร์แสนสวยอย่างที่เห็นในรูป บ้านหลากสี และ ต้นไม้ที่ขึ้นสลับไปกับถนน

4. มิลาน (Milan)


Milan เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
ถูกทิ้งระเบิดจนเสียหายไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่หลังจากนั้นเมืองมิลานได้ถูกบูรณะเรื่อยมา จนในปัจจุบันได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดเมืองหนึ่งของทวีปยุโรป แถมที่มิลานผู้คนจากทั่วโลกยังยกให้เป็นเมืองยักษ์ใหญ่ในวงการแฟชั่นโลก เป็นศูนย์กลางของสินค้าแฟชั่นแบรนด์ดังหลากหลายยี่ห้อ นอกจากนั้นที่มิลานยังมีขุมทรัพย์ทางศิลปะอย่างภาพวาด The Last Supper ของ Leonardo Da Vinci, โรงละครโอเปร่า La Scala, the Castello Sforzesco และโบสถ์แบบ Gothic ขนาดใหญ่ที่สุดในโลกก็อยู่ที่เมืองมิลานด้วย

3. ฟลอเรนซ์ (Florence)


Florence เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เมืองหลวงแห่งแคว้น ทัสกานี “ฟลอเรนซ์” . . . เมืองนี้มักจะถูกขนานนามว่าเป็นพิพัธภัณฑ์ขนาดยักษ์ เพราะว่าความสวยงาม รูปทรง และส่วนประกอบอื่นๆของสิ่งปลูกสร้างของเมืองนี้ดูราวกับเทพนิยาย ซึ่งผลงานศิลปะล้ำค่า พิพิธภัณฑ์ และโบสถ์เก่าแก่ กระจัดกระจายอยู่ทั่วตัวเมือง ทำให้ยิ่งดูมีมนต์เสน่ห์ทางศิลปวัฒนธรรมแบบฉบับยุโรปมากขึ้นไปอีก

2. เวนิส (Venice)


Venice เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เวนิสเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญเป็นอันดับต้นๆของประเทศอิตาลี ซึ่งเวนิสมีความโดดเด่นเฉพาะตัวตรงที่ถุกสร้างบนจุดที่ถูกล้อมรอบด้วยทะเล Adriatic
เวนิสนั้นอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี เวนิสนั้นประกอบด้วยเกาะเล็กๆ (จะเรียกว่าเกาะดีไหมนะ) 118 เกาะ ซึ่งมีสะพานรูปทรงสวยงามเชื่อมระหว่างเกาะให้ผู้คนสามารถเดินข้ามฝากไปมาได้ การเดินทางภายในตัวเมืองนั้น ใช้เรือแจวไปตามคานาล (แม่น้ำที่ไหลผ่านตามเกาะต่างๆ) โดยมี Grand Canal ซึ่งเป็นคานาลใหญ่สุดผ่ากลางเมือง ทำให้แบ่งออกเป็นสองฝั่ง โดยเมืองนี้ส่วนตัวชอบเป็นพิเศษ ด้วยวิวสวยของคานาลและสถาปัตแบบดั้งเดิมของเวนิส จึงทำให้เมืองแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่โรแมนติกที่สุดในโลก

1. กรุงโรม (Rome)


Rome เที่ยวอิตาลี 10 เมืองท่องเที่ยวของประเทศอิตาลี
เมืองหลวงในอดีตของอาณาจักรโรมันที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งโรมในปัจจุบันเป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลี กรุงโรมตั้งอยู่ศูนย์กลางของแคว้นลาซีโอ
กรุงโรมนั้นเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่ เป็นศูนย์รวมของศิลปวัฒนธรรมทั้งแบบคลาสสิคและโมเดิร์นได้อย่างลงตัว และเป็นที่รู้กันว่าที่กรุงโรมมีสถาปัตยกรรมโบราณของกรุงโรมอยู่มากมาย แถมกรุง Vatican ก็ยังอยู่ในโรมอีกด้วย กรุงโรมนั้นมีอายุยืนยาวมากกว่า 2,500 ปี ในฐานะของเมืองศูนย์กลางของวัฒนธรรม การเมือง และ ศาสนา มาหลายยุคหลายสมัย

แผนที่อิตาลี และสถานที่ท่องเที่ยวอิตาลีต่างๆตามเมืองข้างบน

แผนที่ สถานที่ท่องเที่ยวอิตาลี Italy

10 สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในยุโรป


2245-roman-colosseum-800x600
สนามกีฬากลางแจ้งแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของโลกอย่างหนึ่ง เป็นอนุสรณ์ที่ ใหญ่โตของอาณาจักร โรมันสมัยโบราณสร้างขึ้นในระหว่างสิพ.ศ. 615 ถึง 623 (ค.ศ. ที่ 72 ถึง 80)
ตัวสนามสร้างมีรูปเป็นตึกวงกลมก่อด้วยอิฐและหินขนาดใหญ่ วัดโดยรอบยาว 527 เมตร สูง 57 เมตร มี 4 ชั้น ภายในมีอัฒจรรย์สำหรับคนนั่งดู จุคนดูประมาณ 80,000 คน ใต้อัฒจรรย์ และใต้ดินมีห้องสำหรับขังนักโทษที่รอการประหารชีวิต และสิงโต หลายร้อยห้อง ใช้เป็นสถานที่ให้นักโทษ ต่อสู้กับสิงโตที่อดอาหาร หากนักโทษผู้ใดเอาชนะ ฆ่าสิงโตได้ด้วยมือเปล่าได้ก็รอดชีวิตไป หรือ ไว้ใช้เป็นที่ประลองฝีมือในเชิงฟันดาบของบรรดาเหล่าทาสให้ต่อสู้กันเอง ยิ่งถ้าต่อสู้กัน จนถึงสามารถฆ่าคู่ต่อสู้ตาย ก็จะได้รับเกียรติอย่างสูงเพราะเป็นการต่อสู้ที่ชาวโรมันนิยมและยกย่องกันมากทปีๆธิหนึ่งต้องสูญเสียชีวิตนักโทษและทาสไม่ต่ำกว่าร้อยคน
สนามกีฬาแห่งนี้จึงเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณ แต่เมื่ออาณาจักรโรมันเสื่อมลงชัก็ถูกข้าศึกทำลายหลายครั้งหลายหน
ในปัจจุบันยเหลือแต่ซากโครงสร้างอันใหญ่โตมโหฬารไว้ให้ชม
2. หอเอนเมืองปิซา : Leaning Tower of Pisa 
PisaTower-6
ชื่อสถานที่  หอเอนเมืองปิซา : Leaning Tower of Pisa
สถานที่ตั้ง   เมืองปิซา ประเทศอิตาลี
ปัจจุบัน      สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
หอเอนแห่งเมืองปิซา เป็นหอคอยหินอ่อนที่พิศดาร สูง 54 เมตร ( 181 ฟุต) มี 8 ชั้น แต่ละชั้นมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายวิจิตรรองรับ ได้ลงมือสร้างเมื่อ พ.ศ. 1717 (ค.ศ. 1174) ไปเสร็จในปี พ.ศ. 1893 (ค.ศ. 1350) ใช้เวานานถึง 176 ปี ซึ่งเป็นสิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดในโลก ความน่ามหัศจรรย์อีกอย่าง คือ เมื่อเริ่มสร้างได้ 4-5 ชั้น หอนี้เริ่มเอียง แต่ไม่ถึงกับพังทลายลงมา เพราะแรงที่จุดศูนย์ถ่วง เมื่อลากดิ่งลงมาไม่ออกนอกฐานจึงไม่ล้มยังทรงตัวอยู่ได้ เมื่อสร้างเสร็จ ยอดของหอเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 4 เมตร( 14 ฟุต) และหอเอนนี้ช่วยให้กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ ชาวอิตาเลียน ผู้มีชื่อเสียงของโลก ได้ทดลองเรื่องอัตราเร็วของเทห์วัตถุที่ตกลงมาจากที่สูง
3. กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์   : Stonehenge 
5StonehengeLandscapedaytime
ชื่อสถานที่   กองหินประหลาดสโตนเฮนจ์  : Stonehenge
สถานที่ตั้ง    เมืองซัลลิสเบอรี่ มณฑลวิลไซร์ ประเทศอังกฤษ
ปัจจุบัน       สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
กองหินประหลาดนี้อยู่กลางทุ่งนาแห่งเมืองซัลลิสเบอรี ห่างจากกรุงลอนดอนประมาณ 10 ไมล์ ประกอบด้วยแนวหินขนาดมหึมาหินเรียงรายราว ๆ 3 กิโลเมตร และ มีกลุ่มหินใหญ่ประมาณ 112 ก้อน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่งนา เป็นรูปวงกลมซ้อนกันอยู่ 3 วง บางก้อนล้มนอน บางก้อนตั้งตรง บางก้อนวางซ้อนทับอยู่บนยอดก้อนหินที่ตั้งอยู่สองก้อน วงกลมรอบนอก มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 100 ฟุต มีหินทั้งหมด 30 ก้อน แต่ละก้อนสูง 13 ฟุต วงกลมรอบกลาง มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 76 ฟุต มีหินทั้งหมด 40 ก้อน มีสองก้อนตั้งสูงถึง 22 ฟุต วงในสุด มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 50 ฟุต มีหินทั้งหมด 42 ก้อน ล้มบ้างตั้งสูงบ้าง หินแต่ละก้อนหนักเป็นตันๆ เฉลี่ยแล้วสูง 4 เมตร หนัก 26 ตัน
มีผู้สันนิษฐานว่าตั้งอยู่ในที่นั้นมาตั้งแต่ก่อนคริสตกาลถึง 1,700 ปี เป็นสิ่งก่อสร้างที่โดยไม่มีร่องรอยของความเป็นมา ไม่มีใครทราบว่าใครเป็นผู้สร้าง, สร้างเพื่อวัตถุประสงค์อะไร? ที่น่าแปลกก็คือ ในริเวณนั้นเป็นทุ่งกว้าง ไม่มีภูเขาและสิ่งก่อสร้างด้วยก้อนหินอื่น ๆ อีกเลย จึงทำให้สงสัยว่าผู้ก่อสร้างนำหินเหล่านั้นมาจากไหน และไม่ปรากฏว่ามีการขน หรือสิ่งปรักหักพังในการก่อสร้าง บริเวณที่ดังกล่าว ใช้อะไรยกหินก้อน ที่หนัก ๆ หลาย ๆ ตันขึ้นวางซ้อนกันได้ ซึ่งอยู่สูงถึง 13 ฟุต นับเป็นสิ่งก่อสร้างที่มหัศจรรย์ที่ท้าทายความอยากรู้ของมนุษย์ยุคปัจจุบันยิ่งนัก
4. สุเหร่าเซนต์โซเฟีย : Mosque of Hagia Sophia (Istanbul) 
hagia_sophia_istanbul_turkey_cityscapes_mosques_1920x1080_72860
ชื่อสถานที่   สุเหร่าเซนต์โซเฟีย : Mosque of Hagia Sophia (Istanbul)
สถานที่ตั้ง   เมืองคอนสแตนดิโนเปิล ประเทศตุรกี
ปัจจุบัน      สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
สุเหร่าเซนต์โซเฟีย(Saint Sophia) หรือ โบสถ์ฮาเจีย โซเฟีย ปัจจุบันเป็นที่ประชุมสวดมนต์ของชาวมุสลิม ในอดีตเป็นโบสถ์ทางศาสนาคริสต์ พระเจ้าจักรพรรดิ์คอนสแตนตินเป็นผู้สร้างเมื่อประมาณคริสต์ศตวรรษที่13 ใช้เวลาสร้าง 17 ปี เพื่อเป็นโบสถ์ของศาสนาคริสต์ แต่ถูกผู้ก่อการร้ายบุกทำลายเผาเสียวอดวายหลายครั้งเพราะเกิดการขัดแย้งระหว่าง พวกที่นับถือศาสนาคริสต์กับศาสนาอิสลาม
จนถึงสมัยพระเจ้าจัสตินเนียน มีอำนาจเหนือตุรกี จึงได้สร้างโบสถ์เซนต์โซเฟียขึ้นใหม่ ใช้เวลาสร้างฐานโบสถ์ 20 ปี ตัวโบสถ์ 5 ปี เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1996 (ค.ศ 1435) พระองค์ต้องการให้เป็นสิ่งสวยงามที่สุดได้พยายามหา สิ่งของมีค่าต่างๆ มาประดับไว้มากมาย สร้างเสร็จได้มีการเฉลิมฉลองกันอย่าง มโหฬาร ต่อมาเกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่ทำให้แตกร้าวต้องให้ช่างซ่อมจนเรียบร้อยในสภาพเดิม
เมื่อสิ้นสมัยของจักรพรรดิจัสตินเนียน ถึงสมัยพระเจ้าโมฮัมเม็ดที่ 2 มีอำนาจเหนือตุรกี และเป็นผู้นับถือศาสนา อิสลามได้ดัดแปลงโบสถ์หลังนี้ให้เป็นสุเหร่าอิสลาม แต่ยังคงความงามไว้เช่นเดิม
        สุเหร่าเซนต์โซเฟีย มีเนื้อที่ 700 ตารางเมตร ภายในมีเสางามค้ำที่สลักอย่างวิจิตร และ ประดับไว้งดงาม 108 ต้น (ชั้นบนขนาดเล็ก 68 ต้น ชั้นล่างขนาดใหญ่ 40 ต้น) มียอดเป็นโดม คล้ายซาลาเปา มีหอมินาเรสท์เป็นยอดแหลม ๆ มากมาย เนื่องจากศิลปะแบบคริสเตียน ผสมกับอิสลามนี้เองทำให้มีความสวยงามอันน่ามหัศจรรย์
5. พระราชวังแวร์ซายส์ : Palace of Versailles
chateau-versailles-cour-royale-de-marbre
ชื่อสถานที่  พระราชวังแวร์ซายส์ : Palace of Versailles
สถานที่ตั้ง   กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบัน      สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
เป็นพระราชวังที่สวยงามมากสร้างขึ้นโดย พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส มีนายช่างสถาปนิก อัลเดรด เลอ นอสเตอร์ เป็นผู้ออกแบบ ลงมือสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2204 (ค.ศ. 1661) สร้างอยู่นาน เวลา 30 ปี สิ้นเงินค่าสร้าง 500,000,000 ฟรังก์ ใช้คนงาน 30,000 คน ทุกส่วนทำด้วยหินอ่อนสีขาว เป็นแบบอย่างและศิลปกรรมก่อสร้างที่งดงามมาก
        ภายในพระราชวังแบ่งออกเป็นห้องต่างๆ เช่น มีห้องบรรทม ห้องเสวย ห้องสำราญ ห้องทรงพระอักษร ห้องโถง ห้องออกว่าราชการ ฯลฯ แต่ละห้องมีเครื่องประดับมีค่ามากมาย ทั้งวัตถุ และ ภาพเขียนศิลปะที่มีชื่อเสียง ห้องที่มีชื่อที่สุด คือ ห้องกระจกที่เคยใช้ลงนาม เซ็นสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตร กับเยอรมัน ในคราวมสงครามโลกครั้งที่ 1 และเป็นที่ใช้ลงนามในเมื่อเยอรมันบุกตีชนะฝรั่งเศส ในสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย ในการทำสงครามใหญ่ทุกครั้งฝรั่งเศส จึงต้องประกาศให้ปารีสเป็นเมืองปลอดทหารคือ ไม่มีทหารตั้งอยู่ ไม่มีการต่อสู้ใด ๆทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อรักษาไม่ให้พระราชวังแห่งนี้ ต้องได้รับความเสียหายจากการโจมตี ของข้าศึกไม่ว่าโดยทางใด ทุก ๆ ปีจะมีนัก ปจจุบันเป็นสถาปัตยกรรมมีค่าที่สุดของฝรั่งเศส และโลก ที่มีนักท่องเที่ยวไปชมความงามไม่น้อยกว่า 1,000,000 คน ต่อปี
6. วิหารพาร์เธนอน : Parthenon
ÎÄ»¯Ö®Â㺵ØÀíÈËÎľ°¹Û±ÚÖ½¾«Ñ¡ µÚÁù¼­
ชื่อสถานที่  วิหารพาร์เธนอน : Parthenon
สถานที่ตั้ง   ประเทศกรีซ
ปัจจุบัน      สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
วิหารพาร์เธนอน เป็นวิหารที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงในด้านความงดงามและความมีสัดส่วนเหมาะเจาะสมบูรณ์ มีขนาดกว้าง 100 ฟุต ยาว 230 ฟุต และสูง 65 ฟุต เป็นศิลปะแบบดอริก ออกบบโดยสถาปนิกชื่อ อิคตินุส (Ictinus) และ คาลลิคราเตส (Callicrates) ซึ่งดำเนินการก่อสร้างภายใต้การควบคุมของประติมากรชื่อ พิดิอัส (Phidias)
        ซากที่ยังเหลือให้เห็น ก็คือ โครงสร้างที่ค้ำด้วยเสาหินอ่อน สีอมชมพู และหน้าบันบางส่วน ส่วนภายในเคยมี ประติมากรรม เทพีอาธีนา ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ วิหารนี้ใช้เป็นที่บวงสรวง เทพีอาธีนา ต่อมาใช้เป็นโบสถ์ของชาว คริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ แล้วก็เปลี่ยนมาเป็น โบสถ์คาทอลิก จนกระทั่งในยุคที่ ชาวเติร์ก ครองเมืองถูกดัดแปลงมาเป็น มัสยิด และในที่สุดก็ถูกใช้เป็นที่เก็บดินปืน ในสงครามระหว่างเติร์ก กับ เวเนเชี่ยน (Venetian) ทำให้ถูกระเบิดเสียหายไปบางส่วน และ วิหารพาร์เธนอน มาทรุดโทรมอย่างหนัก เมื่อคราวสงครามกอบกู้อิสรภาพของกรีก จาก เติร์ก
7. หอไอเฟล : Eiffel Tower
Paris-Eiffel-Tower-Pictures-HD-Wallpaper-1080x675
ชื่อสถานที่  หอไอเฟล : Eiffel Tower
สถานที่ตั้ง   กรุงปารีส ประเทศ ฝรั่งเศส
ปัจจุบัน      สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
หอไอเฟล (Eiffel) สัญลักษณ์ของนครปารีส สร้างขึ้นใน ค.ศ.1887-9 ออกแบบโดยวิศวกรที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศสชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล (Gustave Eiffel) เพื่อเป็นสัญลักษณ์การจัดงานแสดงสินค้าโลกในปี 1889 (พ.ศ. 2413) ฉลองครบรอบ 100 ปีแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบว่า ทำลายความงดงามของกรุงปารีสด้วยโครงเหล็กน่าเกลียด อยู่ ๆ มีโครงเหล็กสูงโด่งขวางตาพวกเขา เพราะมันทำขึ้นจากโลหะ 15,000 ชิ้น หนักถึง 7,000 ตัน ยึดต่อด้วยน๊อต 3,500,000 ตัว สีทาทั้งหมด 35 ตัน สูง 1,050 ฟุต สิ้นเงินค่าก่อสร้าง 7,799,401 ฟรังก์ เสียเวลาสร้าง 1 ปี มีลิฟต์พาชมวิวได้สูงถึงยอดหอซึ่งมีร้านอาหารที่สามารถนั่งชมวิวได้ทั่วทั้งกรุงปารีส และชมความงามของแม่น้ำเซนด้วย สุดท้ายหอไอเฟลกลับเป็นสถานที่ยอดนิยม ใครต่อใครที่มาปารีสต้องถ่ายรูปด้วยตามธรรมเนียม หอนี้เคยเป็นอาคารสูงที่สุดในโลกสมัยแรก จนกระทั่งตึกเอ็มไพร์เสตท สร้างเสร็จในปี ค.ศ. 1931
        ในวันที่อากาศดีอาจขึ้นไปชมวิวได้ถึงชั้นสูงสุดที่ 899 ฟุต ยามค่ำคืน หอไอเฟลจะเปิดไฟสวยงามมาก และมุมที่ดีที่สุดที่จะถ่ายภาพหอไอเฟล คือ บริเวณ Trocadero มีทั้งร้านขายของที่ระลึก และภัตตาคาร เปิดทุกวันเวลา 9.30-23.00 น. ค่าขึ้นลิฟต์ชม ชั้นแรก 20 ฟรังค์ ชั้นแรกและชั้นสอง 42 ฟรังค์ ชั้นแรก/ชั้นสอง/ชั้นสาม 59 ฟรังค์
8. ม่อนผานักบุญมิแชล : Mont Saint Michel in France
France-Mont-Saint-Michel-1900_bordercropped
ชื่อสถานที่  ม่อนผานักบุญมิแชล : Mont Saint Michel in France
สถานที่ตั้ง   แคว้นบริตตานี ประเทศฝรั่งเศส
ปัจจุบัน      สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
พระอารามอันตั้งอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดตื่นตาน่าดูที่สุดแห่งหนึ่งในโลก เกิดขึ้นเมื่ออัครเทวทูตไมเกิลหรือมิแชลได้มาปรากฎองค์ต่อโอแบร์ต พระราชาคณะ(บิชอบ) แห่งอาวรางช์และมีบัญชาให้สร้างสถานที่เผยแพร่คำสั่งสอนของพระเจ้า บนเกาะที่มีภูเขา เรียกกันในเวลานั้นว่าตองเบ ลักษณะของภูเขาลูกนี้เป็นรูปกรวยคว่ำ สูงเด่นงดงามขึ้นไปจาก หาดทรายชายทะเลของแคว้นบริตตานีในฝรั่งเศส
การก่อสร้างเริ่มแรกทำในระหว่างคริสต์ศักราช 1017-1144 ณ สถานที่อันเป็นที่ตั้งของ โบสถ์เก่าชื่อโนเตรอะดาม-ซู-แตร์ (คุณผู้หญิงใต้ดินของเรา) สร้างกันไปถึงยอดระหว่างสามศตวรรษถัดมา มีการสร้างเพิ่มเติมอยู่เรื่อย ๆ รวมทั้งสถานที่ซึ่งสร้างระหว่าง ค.ศ.1211-1218 เพื่อให้ความสะดวก แก่นักแสวงบุญที่ไปพักแรมคราวละเป็นจำนวนนับพัน
ตึกสร้างแบบศิลปะโกธิคที่เด่นมากคือ ตึกลาแมร์เวย หรือ ยอดมหัศจรรย์ ประกอบด้วย หมู่กุฏิโรงทาน กุฏิโรงรับรอง และเป็นที่เลี้ยงอาหาร มีระเบียงซึ่งตกแต่งไว้อย่างงดงามสวยสดใส ช่วยให้ความงามอันแท้จริงของศิลปะโกธิคเด่นชัดขึ้น
ในสมัยสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศส อังกฤษซึ่งยึดพื้นที่ส่วนใหญ่ของฝรั่งเศส ไว้ได้ ก็มิได้กักกันรังแกผู้ที่จะไปแสวงบุญที่นี้ ซึ้ายังช่วยให้ความสะดวกปลอดภัยอีกด้วย ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีการสร้างกำแพงป้อมปราการป้องกันศัตรูอย่างแข็งแรง แทนบางส่วนที่พังทะลายไป ที่สร้างใหม่ล้วนใช้ศิลปะแบบโกธิคทั้งสิ้น ยอดแหลมของโบสถ์ ใหญ่สร้างต่อเติมในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 นี้เอง แต่ยังรักษาศิลปะสมัยกลางไว้อย่างครบถ้วน ดูเหมือนมงกุฎของม่อนผานักบุญมิแชล
รอบ ๆ พระอารามมีหมู่บ้านติดต่อกันไปตามแนวกำแพง ป้องกันข้าศึกที่จะมาจากทางบกและทางทะเล นอกจากกันน้ำขึ้นน้ำลงซึ่งเป็นไปได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว ผู้แสวงบุญที่จาริกไปเยี่ยมเยียนพระอารามนี้ส่วนใหญ่ จะมาทางบก ผ่านกำแพงค่ายคูประตูป้อมเข้ามา แล้วก็จะเดินเวียนไปตามทางจากล่างไปบนจนถึงยอดระหว่างทางมีร้านค้า บ้านพักเรือนรับรองที่อยู่ประจำของผู้ดูแลรักษาตั้งแต่เป็นคนธรรมดา บาทหลวงผู้น้อยผู้ใหญ่ จนถึงระดับพระราชาคณะ ปัจจุบันอาคารสถานที่ร้ารรวงได้จัดไว้เป็นสัดส่วน มีที่พัก ภัตตาคาร ร้านขายของที่ระลึกอันทันสมัยสำหรับผู้ไปเยี่ยม ประมาณกันว่าม่อนผานักบุญมิแชล นี้ มีความสูงจากระดับน้ำทะเลราว 400 ฟุต (130 เมตร)
9. วิหารนักบุญปีเตอร์ : Saint Peters Basilica 
st_peters_basilica_rome
ชื่อสถานที่  วิหารนักบุญปีเตอร์ : Saint Peters Basilica
สถานที่ตั้ง   ประเทศนครวาติกัน
ปัจจุบัน      สามารถเข้าเยี่ยมชมได้
วิหารนักบุญปีเตอร์อันโอฬาร เป็นจุดสำคัญของนครวาติกัน แม้วิหารนี้จะก่อสร้างด้วยฝีมือ เลอเลิศเป็นพิเศษเท่าที่จะทำได้ แต่การเริ่มต้นเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นสามัญธรรมดา ใน ค.ศ. 90 สันตะปาปาอนาคลีตุส ได้สร้างหอพระขนาดย่อมตรงตรงที่ฝังศพของนักบุญปีเตอร์ หลังจาก ทนทุกข์ทรมานเพื่อพระเจ้าจนสิ้นชีวิต
ต่อมาสมัยจักรพรรดิคอนสแตนติน ซึ่งยอมรับศาสนาคริสเตียนมาเป็นของชาวโรมันได้สร้าง เป็นตึกเหลี่ยมขนาดใหญ่ ณ ที่นี้เองพระเจ้าชาร์ลมาญผู้ช่วยยุโรปให้พ้นภัยจากการรุกรานของคนเถื่อนและสร้าง ความเจริญก้าวหน้าให้หลังจากชะงักงันชั่วระยะหนึ่ง ได้สวมมงกุฎสถาปนาจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ตัวตึกอันเป็นวิหารปัจจุบันสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 15 สมัยสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ผู้อุปถัมภ์ ศิลปินลือนามจำนวนมากมาย สันตะปาปาองค์นี้ทรงเห็นว่าอาณาจักรคริสเตียนจะต้องมีสำนักงานใหญ่ ไว้เก็บรวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐาน การก่อสร้างจึงได้เริ่มขึ้น ณ บัดนั้นและสร้างต่อ ๆ กันมาถึง 300 ปี จึงสำเร็จบริบูรณ์
รูปแบบการก่อสร้างเป็นแบบกรีกสมัยยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ผู้ที่เน้นแบบกรีกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้แก่ ไมเคิล แอนเจโล มาในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ได้เพิ่มเติมศิลปะแบบละติน(โรมัน) รวมเข้าไปดังที่เห็นในปัจจุบัน การตกแต่งภายในอาศัยอัจฉริยะยอดเยี่ยมของศิลปินเอกหลายท่าน เช่น ราฟาเอล และเบอนินี เป็นต้น การจัดระเบียบที่นั่งที่ประชุมภายในงทำได้สัดส่วนสวยงาม มีรูปปั้นของนักบุญถึง 96 องค์ ตรงกลางจัตุรัส มีเสาเหลี่ยมแหลมสูงใหญ่ซึ่งจักรพรรดิคาลิคูลาโปรดให้นำมาจากเฮลิโอโปลิส
หองามมหัศจรรย์คู่แข่งเคียงกับวิหาร คือ หอซิสไตน์ ที่ประทับส่วนพระองค์ของสันตะปาปา สร้างใน ค.ศ.1481 ภาพประดับภายในห้องและที่กำแพงเป็นฝีมือของไมเคิล แอนเจโล ชิ้นเอกและมหัศจรรย์ ในโลก ในห้องใช้เวลาเขียน 4 ปี ส่วนที่กำแพงผนังใช้เวลา 6 ปี ภาพที่ประทับใจชาวโลก ได้แก่ภาพ “การตัดสินครั้งสุดท้าย”
        พิพิธภัณฑ์ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นที่ประทับขององค์สันตะปาปาล้วนเป็นสิ่งมีค่ามีชื่อเสียง เกียรติประวัติอันมหัศจรรย์ของวาติกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมบัติโลก เช่น หนังสือ รูปปั้น ปฏิมากร เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ เครื่องเรือน เครื่องประดับ แผนที่ซึ่งได้มาจากนักสำรวจ มิชชันนารี(หมอสอนศาสนา) พระราชา จักรพรรดิ และจากบุคคลทั่วไปที่มาเยี่ยมเยียน
10. ปราสาท : Heidelburg
heidelberg_germany-1499370
ชื่อสถานที่ ปราสาท : Heidelburg
ที่ตั้ง ประเทศเยอรมันนี
ปัจจุบัน สามารถเข้าชมได้
ปราสาท Heidelburg ในโลกนี้มีปราสาทโบราณที่รักษาสภาพได้สมบูรณ์แบบไม่กี่แห่ง ปราสาท ไฮเดนเบอร์ก เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น  เราสามารถมองเห็น ปราสาทอย่างชัดเจนได้จากในตัวเมือง แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมไปชื่นชมปราสาทกันที่บริเวณบนสะพานเก่า ซึ่งเป็นชื่อที่แปลจากภาษาอังกฤษ นั่นคือสะพานที่ชื่อว่า โอลด์บริดจ์
ปราสาท Heidelburg ตั้งอยู่บนเนินเขาสูง 640 ฟุต ที่มีชื่อว่า Jettenb?hl ปราสาทแห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณทางทิศตะวันออกของเมือง Heidelburg และมีแม่น้ำ Neckar ไหลผ่านในตอนหน้าของเนินเขาที่เป็นที่ตั้งของปราสาท  ปราสาทแห่งนี้ เป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่ง ซึ่งเป็นสมญญานามว่า” The Red Walled Castle ”
ปราสาทแห่งนี้มีความเป็นมายาวนานกว่าหกร้อยปี
ตัวปราสาทถูกสร้างขึ้นด้วยหินทรายสีแดงและในแบบสถาปัตยกรรมแบบบารอค จึงได้รับขนานนามว่า ปราสาทกำแพงแดง หรือ The Red Walled Castle
ปราสาทแห่งนี้ทรุดโทรมและพังทลายลงไปมาก  จนบางส่วนเหลือซากปรักหักพัง แต่บางส่วนก็มีการบูรณะแบบที่ให้รู้ว่าเป็นของโบราณอยู่ พร้อมกับจัดสภาพแวดล้อมให้คล้ายในอดีต
ตำนานที่สำคัญและปรากฏหลักฐานให้เห็นอยู่ทุกวันนี้คือ ประตูแห่งความรักที่สร้างเสร็จในคืนเดียวเรียกในชื่อภาษาอังกฤษว่า One night gate ประตูนี้ตามตำนานเล่าว่า พระราชาทรงรักพระชายามาก เย็นวันหนึ่งพระชายาได้มองไปที่สนามหญ้าแล้วคุยกับพระราชาว่า ที่ตรงนั้นถ้ามีสวนหย่อมเล็กๆ ก็จะทำให้สนามเมื่อมองจากมุมนี้สวยขึ้นมาก ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาเช้า พระชายาตื่นขึ้นมา มองออกไปที่สนาม ก็ทรงเห็นสวยหย่อมที่สวยงาม ในสวนหย่อมมีประตูปูนปั้นขนาดกลาง เป็นองค์ประกอบด้วย ซึ่งแสดงว่าทั้งสวนและประตูใช้เวลาสร้างเพียงคืนเดียว ที่พระราชาสั่งให้สร้างขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อพระชายา ปัจจุบันนี้จึงมีคู่รักจำนวนมากนิยมมาทำพิธีแต่งงาน ณ สถานที่แห่งนี้
นอกจากประตูแห่งความรักแล้ว  ว่ากันว่า ปราสาทที่นี่ยังมีถังเบียร์ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จำนวนสองถัง ใบหนึ่งขนาดความสูงเท่าๆกับตึกสองชั้น ส่วนอีกใบหนึ่งมีความสูงของถังขนาดตึกสามชั้น ในสมัยโบราณพระราชาใช้สำหรับเก็บบ่มไว้นานๆทำให้มีรสชาติดีนั่นเอง
       อาคารพระราชวังหลังหนึ่ง ในปัจจุบัน ก็ยังรักษาสภาพของอาคารไว้ได้อย่างดี และใช้เป็นพิพิธภัณฑ์แสดงลักษณะของร้านขายยาโบราณ ที่น่าสนใจ เป็นลักษณะนิทรรศการถาวร ที่มีทั้งอุปกรณ์ผลิตยา ยา ขวดบรรจุยา ตลอดจนอุปกรณ์ทางการแพทย์ อีกด้วย  เนื่องจากสาขาวิชาที่มหาวิทยาลัยแห่งแรกของเยอรมันเปิดทำการสอนในเมืองนี้ตั้งแต่เมื่อกว่า 620 ปีที่แล้วคือสาขาวิชาการแพทย์
ที่มา : http://sureemas01.exteen.com/20090926/entry สถานที่ท่องเที่ยวในทวีปยุโรป

เที่ยวยุโรป 10 อันดับสุดคลาสสิค


เที่ยวยุโรป 10 อันดับสุดคลาสสิค ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากไปเที่ยวยุโรป แต่ไม่รู้ว่าต้องไปที่ไหนถึงจะคุ้มค่าและเวลาที่สุด เรามี 10 อันดับเมืองสุดสวยของยุโรปที่คุณควรรู้ไว้ก่อนการตัดสินใจจะไปเที่ยวยุโรป ไม่ว่าจะกับบริษัททัวร์หรือไปด้วยตัวเองก็ตาม

 10. กรุงปราก – สาธารณรัฐเชค

เที่ยวยุโรป  10 กรุงปราก - สาธารณรัฐเชค หลายๆคนกล่าวว่าหากคุณมีโอกาสไปเที่ยวได้แค่เมืองเดียวในยุโรป กรุง Prague เป็นเมืองที่ควรค่าแก่โอกาสของคุณมากที่สุด มีเพลงของชาวตะวันตกมากมายที่กล่าวถึงความสวยงามของเมืองแห่งนี้ ถ้าให้เปรียบคงเปรียบได้กับโลกกาตูนย์ของดิสนีย์ ที่คุณมักจะได้เห็น ปราสาทใหญ่โต, สิ่งก่อสร้าง ตระการตา, เกวียนม้าลาก, ถนนที่ก่อด้วยอิฐมาเรียงกัน, ห่านแหวกว่ายไปตามลำคลอง เชื่อไหมครับทั้งหมดนี้หาได้ที่กรุงปรากเมืองหลวงของสาธารณรัฐเชค
หลายๆคนกล่าวว่าหากคุณมีโอกาสไปเที่ยวได้แค่เมืองเดียวในยุโรป กรุง Prague เป็นเมืองที่ควรค่าแก่โอกาสของคุณมากที่สุด มีเพลงของชาวตะวันตกมากมายที่กล่าวถึงความสวยงามของเมืองแห่งนี้ ถ้าให้เปรียบคงเปรียบได้กับโลกกาตูนย์ของดิสนีย์ ที่คุณมักจะได้เห็น ปราสาทใหญ่โต, สิ่งก่อสร้าง ตระการตา, เกวียนม้าลาก, ถนนที่ก่อด้วยอิฐมาเรียงกัน, ห่านแหวกว่ายไปตามลำคลอง เชื่อไหมครับทั้งหมดนี้หาได้ที่กรุงปรากเมืองหลวงของสาธารณรัฐเชค

9. เที่ยวยุโรป – เมืองกรากุฟ – โปแลนด์

เมืองกราสโกว์ - โปแลนด์
กรากุฟเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตเก่าแก่ที่ไม่โทรมไปตามกาลเวลาและยังมีความสวยงาม ดูมีมนต์ขลังอีกด้วย ซึ่งเพียงเท่านี้ก็ให้นักท่องเที่ยวอ้าปากค้างได้แล้ว นอกจากความสวยงามของเมืองแล้ว ที่กราสโกว์ยังมีอาหารเริศรศในราคาที่ไม่แพง เหมือนเมืองอื่นๆของยุโรปอีกด้วย

 8.  เมืองบรูจส์ – เบลเยียม

เมืองบรูจส์ - เบลเยียม
เป็นเมืองที่บรรยากาศดีมาก ตึกราบ้านช่องยังดูเก่าและคงความสวยงามสไตล์คลาสสิกได้ดีมากๆ ที่สำคัญสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ของเมืองนี้ อยู่ใกล้กันมาก ซึ่งคุณสามารถไปเยี่ยมชมทุกสถานที่ได้ด้วยการเดินเท่านั้น แถมอากาศที่นี่ยังดีมากๆ แดดไม่ส่องมากเนื่องจากตึกส่วนมากติดกันคอยเป็นที่บังแดดให้

 7. เมืองซีเอนา – อิตาลี

เมืองซีเอนา - อิตาลี
เมืองซีเอนาถูกขนานนามว่าเป็นเมืองที่ไร้กาลเวลา เพราะแม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไหร่ เมืองแห่งนี้ยังคงความคลาสสิกแบบอิตาลีสมัยก่อน ความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย ผู้คนมีความเป็นกันเอง นักท่องเที่ยวรายนึงกล่าวว่า “ฉันมาที่นี่ 18 ครั้งแล้ว แม้ว่าสถานที่ยังสวยงามเช่นเดิมทุกครั้ง แต่ฉันได้ประสบการณ์ใหม่ๆและพบอาหารอร่อยกว่าที่เคยทุกครั้งที่มาที่นี่” บางคนกล่าวว่า ซีเอนาเป็นเมืองที่สวยงามและเงียบสงบกว่า โรม และ ฟลอเรนซ์ เสียอีก

 6. กรุงโรม – ประเทศอิตาลี

เที่ยวยุโรป 10 อันดับ สุดยอดเมือง สุดคลาสสิก ตามสไตล์ ยุโรป
กรุงโรมเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คุณจะสามารถไปใช้เวลาอยู่ได้เป็นเดือนๆ โดยไม่เบื่อเลย เพราะที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวสวยๆนับไม่ถ้วน ผู้คนเป็นกันเองตามสไตล์อิตาลี อาหารการกิน บริการต่างๆ ก็มีครบครันมากกว่าเมืองท่องเที่ยวไหนๆของโลกเลยก็ว่าได้ ที่สำคัญสถาปัตยกรรมที่นี่สวยงามจนคุณจะลืมไม่ลงเลยทีเดียว

5. กรุงเวียนนา – ออสเตรีย

ยุโรป 10 อันดับ สุดยอดเมือง สุดคลาสสิก ตามสไตล์ ยุโรป
กรุงเวียนนาเต็มไปด้วยกลิ่นอายของ ดนตรี, ประวัติศาสตร์ และ ศิลปะ ซึ่งทำให้เมืองหลวงของประเทศออสเตรียแห่งนี้เป็นเมืองที่น่ามาเที่ยวที่สุดหากคุณเป็นคนที่หลงไหลในวัฒนธรรมตะวันตก ตามท้องถนนของเมืองนี้มักจะมีวณิพกบรรเลงดนตรีคลาสสิกให้ฟัง ยิ่งทำให้บรรยากาศของเมืองนี้มีเสน่ความเป็นยุโรปคลาสสิกมากขึ้นไปอีก

 4. ซาน เซบาสเตียน – สเปน

เที่ยวยุโรป 10 อันดับ สุดยอดเมือง สุดคลาสสิก ตามสไตล์ ยุโรป
ถ้าหากจะมีเมืองไหนซักเมืองได้ชื่อว่าเป็นเมืองที่มีอาหารอร่อยที่สุดของทวีปยุโรป ซาน เซบาสเตียน ประเทศสเปนเหมาะที่จะได้รับตำแหน่งนั้นเป็นที่สุด ไม่ว่าจะไปที่ไหนคุณจะได้ยินคนรอบๆพูดว่า eat eat eat อยู่ตลอด เพราะเมืองนี้เต็มไปด้วยร้านอาหารอร่อย ตกแต่งสวย ราคาไม่แพง มากมายตลอดทั้งเมือง นอกจากนั้นยังมีชายหาดสวยๆให้ไปนั่งชิว หรือ เดินเล่น ได้อีกด้วย

3. ซาลซ์บูร์ก – ออสเตรีย

เที่ยวยุโรป 10 อันดับ สุดยอดเมือง สุดคลาสสิก ตามสไตล์ ยุโรป
Salzburg เป็นเมืองเล็กๆของออสเตรียซึ่งยังมีความยุโรปอยู่มาก แทบไม่มีสิ่งก่อสร้างใหม่ๆหรือตึกสูงขึ้นเลยแม้แต่ที่เดียว เมืองนี้เป็นเมืองบ้านเกิดของ โมซาร์ท นักดนตรีชื่อก้องโลก (รวมทั้งนักดนตรีคลาสสิกที่มีชื่อเสียงในอดีตอีกหลายคน) ที่นี่เป็นที่ที่เฟอร์เฟคสุดๆหากคุณหลงรักประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม (หากสนใจสุดยอดที่เที่ยวออสเตรีย คลิกที่นี่ > เที่ยวออสเตรีย)

2. บูดาเปสต์ – ประเทศฮังการี

เที่ยวยุโรป 10 อันดับ สุดยอดเมือง สุดคลาสสิก ตามสไตล์ ยุโรป
ทุกๆอย่างของบูดาเปสต์ดูจะสวยงามไปหมด ตึกราบ้านช่องรวมทั้งที่อยู่อาศัยของผู้คนทั่วไปดูสวยงามตระการตาสุดๆ (จากภายนอก) อาหารของเมืองนี้ก็เรียกได้ว่าอร่อยมาก สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอัดแน่นรวมกันทำให้เดินหาได้ไม่ยากเลย

 1. ฟลอเรนซ์ – อิตาลี

ฟลอเรนซ์ - อิตาลี
เมืองฟลอเรนซ์ถูกจัดให้เป็นเมืองที่สวยที่สุดโดยสมาคมถ่ายรูปยุโรป 2012  เป็นเมืองที่โดดเด่นมากในด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมที่ยังคงความคลาสสิกสวยงามตามแบบฉบับเมืองยุโรป และที่สำคัญเมืองเล็กๆของอิตาลีเมืองนี้ ยังขึ้นชื่อเรื่องอาหารอีกด้วย (ต้องการชมเมืองอื่นๆของอิตาลี? -> 10 สุดยอด สถานที่ท่องเที่ยวอิตาลี